ข้ามไปเนื้อหา

ฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ (ซ.)

จาก wikishia

ฟาฏิมะฮ์ (ซ.) รู้จักกันในนาม ฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ (ซ.) (ภาษาอาหรับ: السيدة فاطمة الزهراء عليها السلام) (ถือกำเนิดในปีที่ 5 แห่งบิอ์ษัต-ปีที่ 11 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช) คือ บุตรีของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) กับท่านหญิงคอดีญะฮ์ (ซ.) และเป็นภรรยาของอิมามอะลี (อ.)ท่านหญิงเป็นหนึ่งในห้าของกลุ่มชน อาลิอะบา (อัศฮาบุลกิซาอ์) ซึ่งบรรดาชีอะฮ์อิมามียะฮ์ เชื่อว่า ท่านหญิงนั้นมีความสะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากมลทินทั้งปวง

อิมามฮะซัน และอิมามฮุเซน (อ.) อิมามคนที่สองและคนที่สามของชีอะฮ์ ท่านหญิงซัยนับ กุบรอ (ซ.) และท่านหญิงอุมมุลกุลษูม ทั้งหมดคือ บุตรของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)

ซะฮ์รอ บะตูล ซัยยิดะตุนิซาอิลอาละมีน (หัวหน้าของบรรดาสตรีแห่งโลกทั้งหลาย)เป็นสมญานามของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ และอุมมุอะบีฮา (มารดาของบิดาของนาง) เป็นฉายานามของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ท่านหญิงถือเป็นสตรีเพียงผู้เดียว พร้อมด้วยศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ)ที่เข้าร่วมในเหตุการณ์วันมุบาฮะละฮ์ กับชาวคริสต์แห่งเมืองนัจญ์รอน

ซูเราะฮ์อัลเกาษัร โองการตัฏฮีร โองการมะวัดดะฮ์ และโองการอิฏอาม และฮะดีษต่างๆ เช่น ฮะดีษบัฎอะฮ์ ได้ถูกประทานและรายงานเกี่ยวกับความประเสริฐของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)

มีริวายะฮ์ทั้งหลาย รายงานจากศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ )กล่าวว่า ฟาฏิมะฮ์ เป็นสตรีที่มีความสูงส่งทั้งสองโลก ด้วยกัน และความโกรธกริ้วและความพึงพอใจของท่านหญิง ถือเป็นความโกรธกริ้วและความพึงพอพระทัยของอัลลอฮ์ (ซ.บ.)

เกี่ยวกับช่วงวัยเด็กและยุวชนของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ มีรายงานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

จากช่วงอายุนี้ มีรายงานเพียงว่า ท่านหญิงเคยร่วมอยู่กับศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ท่ามกลางความรุนแรงของเหล่าผู้ตั้งภาคีต่อพระผู้เป็นเจ้า การเข้าร่วมของท่านหญิงในชิอ์บ อะบีฏอลิบ และการอพยพไปยังเมืองมะดีนะฮ์ร่วมกับอิมามอะลี (อ.)

ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ได้สมรสกับอิมามอะลี (อ.)ในปีที่สองแห่งฮิจเราะฮ์ศักราช

ท่านหญิงได้ร่วมในกิจกรรมภาคสังคมและร่วมอยู่เคียงข้างศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ในบางสงคราม เช่น ในเหตุการณ์พิชิตเมืองมักกะฮ์ ถือเป็นภารกิจของท่านหญิงหลังจากการอพยพ (ฮิจเราะฮ์)

ในเหตุการณ์ซะกีฟะฮ์ ท่านหญิงได้ต่อต้านกับการดำเนินการของสภาซะกีฟะฮ์ และท่านหญิงถือว่า ตำแหน่งคอลีฟะฮ์ของอะบูบักร เป็นการแย่งชิงมาจากผู้อื่นและท่านหญิงก็ไม่ได้ให้สัตยาบัน (บัยอะฮ์) กับเขา

ท่านหญิงได้กล่าวบทเทศนาธรรม ซึ่งถูกรู้จักกันว่า คุฏบะฮ์ ฟะดะกียะฮ์ เพราะจากเหตุการณ์ในการยึดครองสวนฟะดักและการปกป้องตำแหน่งคอลีฟะฮ์ให้อิมามอะลี (อ.)

หลังจากการวะฟาต(เสียชีวิต) ของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ไม่นานนัก ก็เกิดเหตุการณ์การโจมตีบ้านของท่านหญิง โดยฝ่ายผู้สนับสนุนอะบูบักร ทำให้ท่านหญิงได้รับความบาดเจ็บ และล้มป่วย และหลังจากนั้น ในวันที่ 3 เดือนญะมาดิษษานี ปี 11 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช ท่านหญิงก็ได้เป็นชะฮีด(มรณสักขี) ณ เมืองมะดีนะฮ์

ท่านหญิงได้สั่งให้จัดพิธีฝังศพของนาง เกิดขึ้นในเวลากลางคืน ขณะที่ ในปัจจุบันนี้ หลุมฝังศพของท่านหญิงยังไม่มีผู้ใดสามารถระบุได้

ตัซบีฮาตท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์ และคุฏบะฮ์ฟะดะกียะฮ์ เป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางจิตวิญญาณของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)

มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์ เป็นหนังสือที่รวบรวมคำพูดการสนทนาของท่านหญิงกับเทวทูตของพระเจ้า โดยอิมามอะลี เป็นผู้บันทึกคำพูดเหล่านั้น ตามริวายะฮ์ต่างๆรายงานว่า มุศฮัฟเล่มนี้ อยู่กับบรรดาอิมาม และในปัจจุบัน มุศฮัฟเล่มนี้อยู่กับอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.)

บรรดาชีอะฮ์ ถือว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ เป็นแบบอย่างสำหรับพวกเขา และในช่วงปีครบรอบการเป็นชะฮีดของนาง จึงเป็นที่รู้จักว่าเป็น อัยยาม ฟาฏิมียะฮ์ และมีการจัดงานไว้อาลัยให้กับท่านหญิงอีกด้วย

ในประเทศอิหร่าน วันครบรอบปีแห่งการถือกำเนิดของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (20 ญะมาดิษษานี) ถือเป็นวันสตรีของชาติ และวันแม่แห่งชาติ และนามว่า ฟาฏิมะฮ์และซะฮ์รอ ถือเป็นหนึ่งในชื่อที่มีการใช้กันมากที่สุดของเด็กผู้หญิงทั้งหลาย

ผลงานประพันธ์ที่เกี่ยวกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ (ซ.) ถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน กล่าวคือ สารคดี ประวัติศาสตร์และอัตชีวประวัติ เป็นต้น

นามและเชื้อสาย

ฟาฏิมะฮ์ เป็นบุตรีของศาสดาแห่งอิสลาม มุฮัมมัด บิน อับดุลลอฮ์ และท่านหญิงคอดีญะฮ์ บินติ คุวัยลิด มีการกล่าวถึงสมญานาม (ประมาณ 30 นาม) สำหรับฟาฏิมะฮ์ (ซ.) มีดังนี้ ซะฮ์รอ , ศิดดีเกาะฮ์ , มุฮัดดะษะฮ์ , บะตูล , ซัยยิดะตุนิซาอุลอาละมีน , มันซูเราะฮ์ ,ฏอฮิเราะฮ์ , มุเฏาะฮะเราะฮ์ ,ซะกียะฮ์ , มุบารอกะฮ์ , รอฎียะฮ์ และ มัรฎียะฮ์ ถือเป็นฉายานามที่ถูกรู้จักมากที่สุดของฟาฏิมะฮ์ (1) และยังมีหลายฉายานามของฟาฏิมะฮ์ ได้แก่ อุมมุอะบีฮา , อุมมุลอะอิมมะฮ์ , อุมมุลฮะซัน , อุมมุลฮุเซน และอุมมุลมุฮ์ซิน [2]

ลำดับเหตุการณ์การดำเนินชีวิตของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)

20 ญะมาดิษษานี ปีที่ 5 แห่งบิอ์ษัต การถือกำเนิดของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ 10 รอมฎอน ปีที่ 10 แห่งบิอ์ษัต การสูญเสียท่านหญิงคอดีญะฮ์ (3) มารดาของท่านหญิง ช่วงสุดท้ายของเดือนซอฟัร ปีที่ 2 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช พิธีการหมั้นของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ กับท่านอะลี บิน อะบีฏอลิบ (4) 1 ซุลฮิจญะฮ์ ปีที่ 2 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช การแต่งงานของท่านหญิงและย้ายไปบ้านของท่านอะลี (5) 15 รอมฎอน ปีที่ 3 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช การถือกำเนิดของอิมามฮะซัน บุตรคนแรก 7 เชาวาล ปีที่ 3 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช การเข้าร่วมในสถานที่เกิดสงครามอุฮุด เพื่อรักษาบาดแผลของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) (7) 3 ชะอ์บาน ปีที่ 4 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช การถือกำเนิดของอิมามฮุเซน (8) 5 ญะมาดิลเอาวัล ปีที่ 5 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช หรือปีที่ 6 การถือกำเนิดของท่านหญิงซัยนับ (9) ปีที่ 6 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช การถือกำเนิดของท่านหญิงอุมมุลกุลษูม (10) ปีที่ 7 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช การมอบสวนฟะดักให้ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์โดยศาสดามุฮัมมัด (11) 24 ซิลฮิจญะฮ์ ปีที่ 9 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช การเข้าร่วมในเหตุการณ์มุบาฮะละฮ์ (12) 28 ซอฟัร หรือ 12 รอบีอุลเอาวัล ปีที่ 11 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช การอสัญกรรมของศาสดามุฮัมมัด (13) รอบีอุลเอาวัล ปีที่ 11 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช การยึดสวนฟะดักโดยคำสั่งของอะบูบักร รอบีอุลเอาวัล ปีที่ 11 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช การอ่านเทศนาธรรม ฟะดะกียะฮ์ ในมัสญิดอัลนะบะวีย์ รอบีอุลเอาวัล ปีที่ 11 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช การสร้าง บัยตุลอะฮ์ซาน ในสุสาน บะเกียะอ์ โดยอิมามอะลี เพื่อการแสดงความไว้ทุกข์ให้กับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ เนื่องจากการจากไปของบิดาของนาง รอบีอุษษานี ปีที่ 11แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช การบุกโจมตีบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ และการจุดไฟเผาบ้านและการแท้งมุฮ์ซิน บินอะลี 13 ญะมาดิษษานี (14) หรือ 3 ญะมาดิษษานี ปีที่ 11 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช

ชีวประวัติ

ฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เป็นบุตรคนสุดท้ายของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) และท่านหญิงคอดีญะฮ์ (ซ.) [16] ตามที่นักประวัติศาสตร์กล่าวว่า ฟาฏิมะฮ์ ถือกำเนิด ณ. เมืองมักกะฮ์และในบ้านของท่านหญิงคอดีญะฮ์ ในสถานที่ซึ่งเรียกว่า ซุกอก (ตรอก, ทางเดิน) อัลอัฏฏอรีน และ ซุกอก อัลฮิจร์ ใกล้ พื้นที่ มัสอา[17]

การถือกำเนิดและช่วงวัยเด็ก

ตามทัศนะทั่วไปของชาวชีอะฮ์ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ถือกำเนิดในปีที่ 5 ของ บิอ์ษัต (การสถาปนาเป็นศาสดา) หรือที่เรียกว่า ซะนะฮ์ อะฮ์กอฟียะฮ์ (ปีแห่งการถูกประทานลงมาของซูเราะฮ์ อัลอะฮ์กอฟ) [18] [19] เชคมุฟีดและ กัฟอะมี ถือว่า ปีที่สองแห่งบิอ์ษัต เป็นเวลาแห่งการประสูติของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) [20] ตามทัศนะทั่วไปของชาวซุนนีย์ ถือว่า การประสูติของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์(ซ.) คือ ห้าปีก่อนบิอ์ษัต (21)

ในแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์ มีการกล่าวถึงวันถือกำเนิดของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) คือ วันที่ 20 เดือนญะมาดิษษานี [22] ตามริวายะฮ์ (รายงาน) จากอิมามบากิร (อ. การตั้งชื่อนี้ได้รับการประทานจากพระผู้เป็นเจ้า ในรายงานระบุอีกว่า มีการกล่าวเกี่ยวกับการตั้งชื่อนี้ว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงแยกท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ออกจากพันธสัญญา (อะลัสตุและอาลัมซัร) ยังความรอบรู้ และทรงทำให้ท่านหญิงออกห่างจากมลทินทั้งปวง (23) นอกจากนี้ ยังมีรายงานจากหนังสือ ซะคออิรุลอุกบา (เขียนขึ้นในศตวรรษที่ 7 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช ว่า สาเหตุที่ฟาฏิมะฮ์ ถูกตั้งชื่อนี้ เพราะว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงปกป้องท่านหญิงและเชื้อสายของท่านหญิงให้ปลอดภัยจากไฟนรก (24)

มีรายงานทางประวัติศาสตร์เพียงไม่กี่ฉบับที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของฟาฏิมะฮ์ในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น [25] ตามรายงานทางประวัติศาสตร์ หลังจากการเปิดเผยการเชิญชวนของท่านศาสดามุฮัมมัด ฟาฏิมะฮ์ได้เห็นถึงการกระทำอย่างรุนแรงของเหล่ามุชริก (ผู้ตั้งภาคีต่อพระเจ้า) ที่มีต่อบิดาของนางในบางกรณี นอกจากนี้ สามปีผ่านไป นับตั้งแต่วัยเด็กของฟาฏิมะฮ์ ในชิอ์บ อะบีฏอลิบ และภายใต้แรงกดดันทางเศรษฐกิจและสังคมของพวกมุชริกต่อบะนี ฮาชิม และผู้ติดตามของศาสดาแห่งอิสลาม (26) ฟาฏมะฮ์ยังได้สูญเสียคอดีญะฮ์ มารดาของนางในวัยเด็กอีกด้วย [27] การตัดสินใจของเผ่าพันธุ์กุเรช ต่อการสังหารท่านศาสดา (ซ็อลฯ)[28] การออกเดินทางตอนกลางคืนของท่านศาสดาจากเมืองมักกะฮ์และการอพยพไปยังเมืองมะดีนะฮ์ และการอพยพของฟาฏิมะฮ์ไปยังเมืองมะดีนะฮ์ ร่วมกับท่านอะลี (อ.) และสตรีจำนวนหนึ่ง ถือเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญในช่วงวัยเด็กของฟาฏิมะฮ์[29]

การสู่ขอและการแต่งงาน

ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) มีผู้มาสู่ขอหลายคนด้วยกัน แต่ท้ายที่สุด ท่านหญิงก็ได้แต่งงานกับอิมามอะลี (อ.)(30) ตามที่นักวิจัยบางคนเชื่อว่า หลังจากการอพยพของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ไปยังเมืองมะดีนะฮ์และความเป็นผู้นำของสังคมอิสลาม ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เป็นที่ให้ความเคารพในหมู่ชาวมุสลิม เนื่องจากความสัมพันธ์ของท่านหญิงกับท่านศาสดา ในฐานะบุตรีของเขา และได้รับสถานภาพที่สูงส่ง [31 ] นอกเหนือจากประเด็นนี้ การแสดงความรักของท่านศาสดาที่มีต่อท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)[32] และคุณลักษณะของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ เมื่อเปรียบเทียบกับสตรีทั้งหลายในสมัยของนาง [33] เป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวมุสลิมบางคนต้องการแต่งงานกับบุตรีของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) พวกเขาจำนวนหนึ่งที่เข้ารับศาสนาอิสลามก่อนหน้านี้หรือมีอำนาจทางการเงินอย่างเพียงพอได้เข้าสู่ขอท่านหญิง [35] อะบูบักร์ อุมัร [36] และ อับดุรเราะฮ์มาน บินเอาฟ์ [37] อยู่ในหมู่ผู้คนเหล่านี้ ผู้มาสู่ขอทุกคนได้ยินการปฏิเสธจากท่านศาสดา (38) เพื่อตอบสนองต่อการสู่ขอของพวกเขา ท่านศาสดาจึงกล่าวว่า การแต่งงานของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ เป็นภารกิจจากฟากฟ้าและต้องมีบัญชาการของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น (40)‎

ท่านอะลี (อ.) มีความสนใจที่จะแต่งงานกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากความสัมพันธ์ทางครอบครัวของเขากับท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ)และลักษณะทางศีลธรรมและทางศาสนาของท่านหญิง [41] แต่บรรดานักประวัติศาสตร์กล่าวว่า เขาไม่อนุญาตให้ตัวเองมาสู่บุตรีของท่านศาสดา [42] ซะอัด บินมะอาซ ได้แจ้งเรื่องนี้ให้ท่านศาสดารับทราบ และท่านศาสดาก็เห็นด้วยกับการสู่ของท่านอะลี (อ.)[43] ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ)จึงบอกกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ถึงการสู่ขอของท่านอะลี (อ.) และลักษณะพฤติกรรมและความประเสริฐของเขาซึ่งมาพร้อมกับความยินยอมของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) (44) ท่านศาสดายังได้จัดการแต่งงานท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ‎กับท่านอะลี (อ.) ตามคำบัญชาของพระเจ้า ด้วยเช่นกัน [45] ท่านอะลี (อ.) ก็เช่นเดียวกันกับผู้อพยพคนอื่น ๆ มีสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ยากลำบากในช่วงเดือนแรก ๆ หลังจากการอพยพ (46) ดังนั้น ตามคำแนะนำของท่านศาสดา เขาจึงขายชุดเกราะของเขา (หรือนำไปจำนอง) และกำหนดราคา เป็นสินสอดของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ‎พิธีการอ่านอักด์ของท่านอะลี (อ.) และท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) จัดขึ้นต่อหน้าชาวมุสลิมในมัสยิด (48) เกี่ยวกับเรื่องของวันที่จัดพิธีการอ่านอักด์นั้น มีทัศนะที่แตกต่างกัน แต่ส่วนมากของแหล่งข้อมูล บันทึกว่า ในปีที่สองของฮิจเราะฮ์ศักราช [49] พิธีอภิเษกสมรส จัดขึ้น หลังสงครามบะดัรในเดือนเชาวาลหรือซุลฮิจญะฮ์ในปีฮิจเราะห์ที่ 2‎

การใช้ชีวิตร่วมกับท่านอะลี (อ.) ‎ ในรายงานทางประวัติศาสตร์และริวายะฮ์ ระบุว่า ฟาฏิมะฮ์ (ซ.) มีความรักต่ออะลี (อ.) ในรูปแบบต่างๆ แม้กระทั่งต่อหน้าท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ)และนางเรียกเขาว่าเป็นสามีที่ดีที่สุด (51)รายงานว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์เรียกชื่อท่านอะลี ด้วยชื่อที่น่ารัก[52] ในหมู่ผู้คนด้วยฉายานามว่า อะบุลฮะซัน[53] มีรายงานอีกว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ‎ประดับตัวของนางด้วยน้ำหอมและเครื่องประดับที่บ้านของนาง[54]‎

ช่วงแรกของการใช้ชีวิตของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)และท่านอะลี (อ.) มาพร้อมกับสภาพเศรษฐกิจที่ยากลำบาก ‎‎[55] และบางครั้งพวกเขาก็ไม่มีอาหารสำหรับให้ฮะซันและฮุเซนอิ่มท้องได้ [56] แต่ท่านหญิงก็ไม่ได้คัดค้านกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่และบางครั้งเขาก็เคยปั่นขนแกะเ พื่อช่วยภรรยาในการหาปัจจัยเลี้ยงชีพ (57)‎

ตามคำแนะนำของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) [58] ให้ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ทำงานภายในบ้านด้วยตัวเองและงานนอกบ้านให้กับท่านอะลี (อ.)(59) ในเวลาที่ส่งฟิฎเฎาะฮ์ เป็นคนรับใช้ไปยังบ้านของนาง การงานครึ่งหนึ่งในบ้าน นางจะรับผิดชอบ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นหน้าที่ของฟิฎเฎาะฮ์ (60) ตามรายงานบางฉบับ ระบุว่า ตามคำแนะนำของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ให้ฟิฎเฎาะฮ์ทำงานบ้านในวันหนึ่ง และอีกวันหนึ่งเป็นหน้าที่ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ‎‎(ซ.) (61)‎

อิมามอะลี (อ.) ให้ความเคารพต่อท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ด้วยเช่นกัน มีริวายะฮ์หนึ่ง รายงานจากอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า ‎ฉันไม่เคยโกรธฟาฏิมะฮ์และฟาฏิมะฮ์ก็ไม่เคยโกรธต่อฉันเลย[62] ในประเด็นของอะบูบักร์ และอุมัร ที่ร้องขอต่ออิมามอะลี (อ.) เพื่อเข้าพบกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ เขาพูดกับอิมามอะลี (อ.) ว่า บ้านนี้เป็นของเจ้า และผู้หญิงที่เป็นอิสระคนนี้ ที่กำลังคุยกับเจ้า ก็คือภรรยาของเจ้า ทำทุกอย่างในสิ่งที่เจ้าต้องการ

บุตร

แหล่งข้อมูลของชีอะฮ์และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ ต่างเห็นพ้องกันว่า ฮะซัน, [64] ฮุเซน, [65] ซัยนับ [66] และอุมมุล ‎กุลษูม [67] เป็นบุตรสี่คนของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์และอิมามอะลี (68) ในแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์และบางแหล่งข้อมูลของอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ มีบุตรอีกคนหนึ่งที่ได้รับการตั้งชื่อตามรายงานว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ถูกทำแท้งอันเป็นผลมาจากความบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับท่านหญิงในช่วงเหตุการณ์หลังจากท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ชื่อของเขาถูกกล่าวถึงว่า มุฮ์ซิน (69)‎

เหตุการณ์บั้นปลายของชีวิต

ในช่วงไม่กี่เดือนสุดท้ายของชีวิตของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ เหตุการณ์ที่โชคร้ายเกิดขึ้นกับนาง ดังที่กล่าวไว้ว่า ไม่มีผู้ใดเห็นท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ ยิ้มแย้มเลยในช่วงเวลานี้ [70] การจากไปของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) [71] ‎เหตุการณ์ซะกีฟะฮ์ การแย่งชิงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ การยึดสวนฟะดักโดยอะบูบักร์ และการอ่านคำเทศนาของท่านหญิงต่อหน้าบรรดาสาวก[72] ถือเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในบั้นปลายของชีวิตของนาง ท่านอะลี (อ.) ซึ่งอยู่เคียงข้างท่านหญิง เป็นหนึ่งในฝ่ายตรงข้ามหลักของสภาซะกีฟะฮ์และการเป็นเคาะลีฟะฮ์ของอะบูบักร์ [73] ด้วยสาเหตุนี้ พวกเขาจึงถูกคุกคามโดยระบบเคาะลีฟะฮ์ ซึ่งตัวอย่างหนึ่ง คือ การคุกคามที่จะเผาบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ‎‎(74) การไม่ให้สัตยาบันของท่านอะลี (อ.) และการต่อต้านอะบูบักร์ และการนั่งอยู่ในบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ทำให้เหล่าสหายของเคาะลีฟะฮ์โจมตีบ้านของนาง และในการโจมตีครั้งนี้ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ได้รับบาดเจ็บ เพราะนางถูกขัดขวางไม่ให้พาท่านอะลีไปให้สัตยาบัน [75] และการแท้งบุตรของนาง [76] ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ‎หลังจากเหตุการณ์นี้ นางได้ล้มป่วยและเป็นชะฮีดในเวลาอันสั้น [77] ในหนังสือ อัลอิฮ์ติญาจ มีรายงานว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)ได้กล่าวในหมู่สตรีชาวเมืองมะดีนะฮ์ที่เข้ามาเยี่ยมบ้านของนาง ซึ่งรวมถึงจุดยืนอื่น ๆ ของท่านหญิงด้วย และการแสดงความไม่พอใจกับสภาพของประชาชนหลังจากการจากไปของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ‎‎[78]‎

ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ได้สั่งเสียอะลี (อ.) ว่า เหล่าผู้ต่อต้านของนาง จะต้องไม่มีส่วนร่วมในการนมาซมัยยิตของและเข้าร่วมพิธีฝังศพของนางและนางขอร้องให้อะลี (อ.) ฝังศพของนางในตอนกลางคืน (79) ตามความเห็นที่เป็นที่รู้จัก [80] ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เป็นชะฮีดในวันที่ 3 เดือนญะมาดิษษานี ปีที่ 11 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช ณ เมืองมะดีนะฮ์ [81] อายุของนาง คือ สิบแปดปี [82] แต่ในริวายะฮ์ของอิมามบากิร (อ.) อายุของนางถูกกล่าวถึงว่า 23 ปี‏ ‏ด้วยกัน (83)‎

การเข้าร่วมและจุดยืนทางการเมือง

ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) มีการเคลื่อนไหวทางสังคมและจุดยืนทางการเมืองอย่างมากมาย การอพยพไปยังเมืองมะดีนะฮ์ การปฏิบัติต่อท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ในเหตุการณ์สงครามอุฮุด [84] การปรากฏตัวข้างร่างศพของท่านฮัมซะฮ์ ซัยยิดุชชุฮะดา พร้อมด้วยศอฟียะฮ์ น้องสาวของท่านฮัมซะฮ์ และป้าของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ในอูฮุด [85] การส่งอาหารให้แก่ท่านศาสดาในสงครามค็อนดัก [86] และการติดตามท่านศาสดาในการพิชิตมักกะฮ์[87] ถือเป็นการเคลื่อนไหวต่างๆของท่านหญิงก่อนการอสัญกรรมของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) แต่การเคลื่อนทางการเมืองส่วนมากของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เกี่ยวข้องกับช่วงชีวิตอันสั้นของนาง หลังจากการอสัญกรรมของท่านศาสดา จุดยืนทางการเมืองที่สำคัญที่สุดบางประการของนาง ได้แก่ การต่อต้านเหตุการณ์ซะกีฟะฮ์ และการเลือกตั้งอบูบักร์ เป็นคอลีฟะฮ์ต่อจากท่านศาสดา การไปยังบ้านของแกนนำของพวกมุฮาญิรรและอันศอร เพื่อขอให้พวกเขาสารภาพเกี่ยวกับเหมาะสมและความเหนือกว่าของอิมามอะลี (อ.) สำหรับตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์, การพยายามทวงคืนกรรมสิทธิ์ของฟะดัก, การเทศนาธรรมฟะดะกียะฮ์ในกลุ่มผู้อพยพและอันศอร, การปกป้องอะลี (อ) ในกรณีที่บ้านของเขาถูกโจมตี, การปราศรัยในกลุ่มสตรี (ผู้อพยพ) และอันศอร) ที่มาเยี่ยมนางและสั่งเสียไว้ว่า ให้จัดพิธีการเสียชีวิตของนางอย่างซ่อนเร้น ขณะที่นักวิจัยบางคนกล่าวว่า ส่วนมากของคำพูดและพฤติกรรมหลายประการของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ หลังจากการอสัญกรรมของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) นั้นเป็นปฏิกิริยาทางการเมืองและการประท้วงต่อต้านการแย่งชิงตำแหน่งคอลีฟะฮ์โดยอบูบักร์ และฝ่ายสนับสนุนตำแหน่งคอลีฟะฮ์ของเขา (88)

ท่านหญิงต่อต้านการตัดสินใจของสภาซะกีฟะฮ์

หลังจากการจัดตั้งสภาซะกีฟะฮ์ และการให้สัตยาบันกับอะบูบักร์ ในฐานะเป็นเคาะลีฟะฮ์ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ได้คัดค้าน เหมือนกับอิมามอะลี (อ.) และเหล่าศอฮาบะฮ์จำนวนหนึ่ง เช่น ฏ็อลฮะฮ์และซุบัยร์ (89) เพราะว่า เหตุการณ์เฆาะดีร ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้แนะนำอิมามอะลีว่า เป็นตัวแทนของเขา (90) จากรายงานต่างๆทางประวัติศาสตร์ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์พร้อมอิมามอะลี ได้ไปหาศอฮาบะฮ์ และขอความช่วยเหลือจากพวกเขา ศอฮาบะฮ์ได้ตอบข้อเรียกร้องของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) กล่าวว่า หากว่าก่อนหน้านี้ ได้มีการให้สัตยาบันกับอะบูบักร์ พวกเขาก็จะให้การสนับสนุนกับการเป็นเคาะลีฟะฮ์ของท่านอะลี (อ.) (91)

เรื่องราวของฟะดักและบทเทศนาธรรมฟะดะกียะฮ์

หลังจากที่อะบูบักร์ ได้ยึดฟะดักมาจากท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) และใช้ประโยชน์ในการเป็นเคาะลีฟะฮ์ของตนเอง ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) จึงได้คัดค้านการกระทำของเขา (๙๒) ท่านหญิงได้เจรจากับอบูบักร์ เพื่อยึดคืนฟะดัก และหลังจากนำเสนอเหตุผลและข้อพิสูจน์แล้ว (๙๓) อะบูบักร์ ได้เขียนว่า ฟะดักเป็นของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ แต่อุมัร บิน ค็อฏฏ็อบ ได้จดหมายนั้นจากท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) อย่างไม่ให้การเคารพและฉีกมันทิ้งไป [๙๔] แหล่งข้อมูลบางแห่ง รายงานว่า อุมัรได้ทุบตีท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) จนท่านหญิงได้รับการบาดเจ็บและแท้งบุตรในเหตุการณ์ครั้งนี้ (๙๕) ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ หลังจากที่ไม่ประสบความสำเร็จในความพยายามเพื่อทวงคืนฟะดัก ท่านหญิงจึงไปที่มัสญิด อันนะบะวี และอ่านบทเทศนาธรรมต่อหน้าบรรดาเศาะฮาบะฮ์ ซึ่งต่อมา กลายเป็นที่รู้จักในบทเทศนาธรรม ฟะดะกียะฮ์ และในนั้น ท่านหญิงได้ประณามการยึดฟะดักและการแย่งชิงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ บทเทศนาธรรมนี้ ท่านหญิงถือว่า ผลลัพท์ของการกระทำของอะบูบักร์ และผู้สนับสนุนเขา คือไฟนรก [๙๖] บทเทศนาธรรมนี้ใช้สำหรับการพิสูจน์ถึงการอนุญาตให้สตรีชาวมุสลิมเข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง (๙๗) การสนับสนุนผู้ร่วมประท้วงต่อต้านอะบูบักร์

หลังจากที่เหล่าเศาะฮาบะฮ์ได้เรียกอะบูบักร์ ในฐานะเป็นเคาะลีฟะฮ์ และได้ให้สัตยาบันกับเขา และเพิกเฉยต่อคำพูดของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) เกี่ยวกับการเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของอิมามอะลี (อ.) ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) พร้อมด้วยท่านอะลี (อ.) ชาวบะนีฮาชิม และเศาะฮาบะฮ์อีกจำนวนหนึ่ง ได้คัดค้านด้วยการให้สัตยาบันนี้ และรวมตัวกันประท้วงในบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (๙๘) อับบาส บิน อับดุลมุฏเฏาะลิบ ซัลมาน ฟาร์ซี อะบูซัร ฆิฟารี อัมมัร บิน ยะซีร มิดดาด อุบัย บิน กะอ์บ และกลุ่มผู้คนจากชนเผ่าบะนีฮาชิม เป็นกลุ่มชนที่รวมตัวประท้วงดังกล่าว (๙๙)

การปกป้องท่านอะลี (อ.) ในเหตุการณ์การโจมตีบ้าน

เหล่าผู้สนับสนุนการเป็นเคาะลีฟะฮ์ของอะบูบักร์ได้มารวมตัวหน้าบ้านของท่านอะลี เพื่อโจมตี ขณะที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ได้ขัดขวางและป้องกันไม่ให้พวกเขาจับท่านอะลี (อ. เพื่อให้สัตยาบันกับอะบูบักร์ [๑๐๐] ตามรายงานจากอิบนุ อับดุร็อบบิฮ์ หนึ่งในนักวิชาการอะฮ์ลิสซุนนะฮ์แห่งศตวรรษที่สามและสี่ของฮิจญ์เราะฮ์ศักราช หลังจากที่อะบูบักร์ ได้รับแจ้งเกี่ยวกับการรวมตัวประท้วงของฝ่ายต่อต้านในบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เขาก็สั่งให้โจมตีที่นั่นและขัดขวางการชุมนุมของฝ่ายต่อต้านและในกรณีที่มีการต่อต้านให้พวกเขาต่อสู้กับพวกเหล่านั้น อุมัรได้ไปที่บ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์กับกลุ่มชนจำนวนหนึ่งและเรียกร้องให้ผู้ประท้วงออกจากบ้านนั้น จากนั้นเขาก็ข่มขู่ว่า จะจุดไฟเผาบ้าน ถ้าพวกเขาไม่เชื่อฟังคำสั่งของเขา [๑๐๑] อุมัรพร้อมผู้บุกรุกอื่นๆได้ เข้าไปในบ้านด้วยความรุนแรง ในขณะเดียวกัน ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ได้พูดว่า หากผู้โจมตีไม่ออกไปจากบ้านของนาง นางจะฟ้องร้องต่อพระเจ้า [๑๐๒] ด้วยเหตุนี้ ผู้โจมตีจึงออกไปจากบ้าน ยกเว้นท่านอะลีและกลุ่มชนบะนีฮาชิม ผู้ประท้วงทั้งหมดถูกนำตัวไปที่มัสญิดเพื่อให้สัตยาบันกับอะบูบักร์ (๑๐๓)

หลังจากที่เหล่าผู้โจมตีได้รับคำสัตยาบันจากผู้ประท้วงแล้ว เพื่อที่จะได้รับคำสัตยาบันจากอิมามอะลี (อ.) และกลุ่มชนบะนีฮาชิม พวกเขาก็ได้โจมตีบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) อีกครั้งและจุดไฟเผาประตู ขณะที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซึ่งอยู่หลังประตูได้รับบาดเจ็บและทารกในครรภ์ของนาง (มุห์ซิน (อ.) ได้ถูกทำให้แท้ง อันเป็นผลมาจากไฟ แรงกดดัน และการทุบตีของอุมัร กุนฟุซและเหล่าสหายอื่นๆ [๑๐๔] รายงานบางฉบับ ระบุว่า กุนฟุซ ได้วางท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ไว้ระหว่างประตูกับผนัง [๑๐๕] และกระแทกประตูเข้าใส่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) และทำให้สีข้างของท่านหญิงหัก [๑๐๖ หลังจากเหตุการณ์นี้ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ก็ล้มป่วยลง (๑๐๗)

ความโกรธของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ต่ออะบูบักร์และอุมัร

การเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรงของอะบูบักร์ และอุมัร กับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์และอะลี เกี่ยวกับเหตุการณ์ฟะดัก และเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการบังคับให้คำสัตยาบันกับเคาะลีฟะฮ์ ความโกรธของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ที่มีต่ออะบูบักร์ และอุมัร ตามมาจนกระทั่งถึงบั้นปลายชีวิตของท่านหญิง (๑๐๘) ตามรายงานต่างๆระบุว่า หลังจากอุมัร และผู้บุกรุกอื่นๆ เข้าโจมตีบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อะบูบักร์ และอุมัรจึงตัดสินใจไปที่บ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์เพื่อขอโทษ แต่ฟาฏิมะฮ์ไม่อนุญาตให้พวกเขาเข้าไปในบ้าน แต่ในที่สุด พวกเขาก็เข้าไปในบ้านของท่านหญิวฟาฏิมะฮ์พร้อมกับการไกล่เกลี่ยของท่านอะลี ท่านหญิงได้หันหลังให้กับบุคคลทั้งสองและไม่ได้ตอบรับคำทักทายของพวกเขา หลังจากท่านหญิงกล่าวถึงฮะดีษบัฎอะฮ์ ซึ่งศาสดามุฮัมมัดกล่าวไว้ว่า ความพึงพอใจและความโกรธของเขา ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจและความโกรธของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ โดยท่านหญิงได้ประกาศต่ออะบูบักร์ และอุมัร ว่า พวกเขาได้ก่อให้เกิดความโกรธแก่นาง (๑๐๙) บางรายงานระบุว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ได้สาบานว่า นางจะกล่าวสาปแช่งบุคคลทั้งสองหลังนมาซทุกครั้ง (๑๑๐)

บทเทศนาธรรมในการพบปะกับสตรีชาวมุฮาญิรและอันศอร

หลังจากการวายชนม์ของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) และการล้มป่วยของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ กลุ่มสตรีจากชาวมุฮาญิรและอันศอร ได้เข้ามารวมตัวกันในบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) และคำกล่าวของท่านหญิงเพื่อเป็นการตอบคำทักทายของพวกนาง ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์เหล่านี้ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ในการพบปะกันครั้งนี้ หลังจากกล่าวการสรรเสริญพระเจ้า และประสาทพรแด่บิดาของนาง ก็ได้กล่าวตำหนิอย่างรุนแรงและประณามผู้ชาย (ชาวมุฮาญิรและอันศอร) ที่ถอดถอนผู้สืบทอดของศาสดาออกจากตำแหน่งของเขา และทำให้เขาออกจากฐานที่มั่นแห่งสาร และพวกเขาก็พบว่าตนเองได้รับความเสียหายอย่างเห็นได้ชัด ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ในการกล่าวคำปราศรัยของนางได้กล่าวถึงเหตุผลที่ประชาชนหันหลังกลับและการแก้แค้นของพวกเขาให้กับอิมามอะลี (อ.) ว่า เป็นการยึดมั่นและการปกป้องการบริหารความยุติธรรมของเขา และชี้แจงว่า หากพวกเขามีความรักต่อการปกครองของเขาและจะยอมรับเขา พวกเขาจะได้ลิ้มรสน้ำอันบริสุทธิ์ ซึ่งมีน้ำไหลล้นจากทั้งสองด้าน และประตูแห่งสิริมงคลของแผ่นดินและท้องฟ้าก็จะเปิดให้กับพวกเขา บัดนี้ เมื่อพวกเขาไม่ยอมรับการปกครองและอธิปไตยของเขา พระผู้เป็นเจ้าจะทรงลงโทษพวกเขา สำหรับสิ่งที่พวกเขาก่อ [๑๑๑] ตามรายงานบางฉบับ ระบุว่า หลังการพบปะกัรครั้งนี้ เช่น ผู้ชายชาวมุฮาญิรและชาวอันศอรได้รับแจ้งให้ (ภายนอก) ขอโทษ และ (โดยส่วนใหญ่มีเจตนา) ให้พิสูจน์ถึงการกระทำของพวกเขา (การให้คำสัตยาบันกับอะบูบักร์) ซึ่งพวกเขาได้เข้าหาท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ โดยท่านหญิงกล่าวกับพวกเขาว่า : จงไปให้พ้นจากฉัน เพื่อที่จะไม่มีข้อแก้ตัวเหลืออยู่หลังจากการขอโทษอย่างไม่จริงใจ และความผิดพลาดของพวกท่านนี้ ไม่สามารถที่จะย้อนกลับได้ (๑๑๒)

การเป็นชะฮีด พิธีศพ การฝังศพ

ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ได้จากโลกนี้ไปในปี ฮ.ศ. ๑๑ หลังจากที่มีอาการเจ็บป่วยมาสักระยะหนึ่ง เนื่องจากการบาดเจ็บทางร่างกายที่นางประสบในเหตุการณ์ภายหลังการวายชนม์ของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) (๑๑๓) เกี่ยวกับวันที่ของการเป็นชะฮีดของท่านหญิง มีทัศนะที่แตกต่างกัน และมีการกล่าวว่า เป็นเวลาสี่สิบคืนหลังจากการวะฟาตของศาสดา (ศ็อลฯ) จนถึงแปดเดือนหลังจากนั้น (๑๑๔) คำกล่าวที่ถูกรู้จักที่สุดในหมู่ชีอะฮ์ (๑๑๕) คือ วันที่ สาม เดือนญะมาดิษษานี (๑๑๖) กล่าวคือ ๙๕ วันหลังจากการวายชนม์ของศาสดา (ศ็อลฯ) [๑๑๗] คำกล่าวนี้ได้รับรายงานจากอิมามศอดิก (อ.) [๑๑๘] ตามทัศนะอื่นๆ ถือว่า ๗๕ วันหลังจากการวะฟาตของศาสดา (ศ็อลฯ) [๑๑๙] (๑๓ ญะมาดิลเอาวัล) วันที่ ๘ เราะบีอุษษานี [๑๒๐] วันที่ ๑๓ เราะบีอุษษานี [๑๒๑] และวันที่สามของเดือนรอมฎอน [๑๒๒] เป็นวันแห่งการได้รับชะฮีดของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)

ในริวายะฮ์หนึ่ง รายงานจาก อิมามกาซิม (อ.) ได้กล่าวถึงการเป็นชะฮีดของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)อย่างเปิดเผย (๑๒๓) ในอีกริวายะฮ์หนึ่ง รายงายจาก อิมามศอดิก (อ.) ได้กล่าวถึงเหตุผลของการเป็นชะฮีดของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อันเนื่องจากการถูกทุบตีด้วยฝักดาบโดยกุนฟุซ ทำให้ท่านหญิงแท้งมุห์ซินและล้มป่วย จนเป็นชะฮีดในที่สุด (๑๒๔)

ตามความเชื่อของนักค้นคว้าวิจัยบางคน ถือว่า คำสั่งเสียของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ที่จะฝังศพของนางอย่างลับๆ ถือเป็นการดำเนินทางการเมืองครั้งสุดท้ายของนางในการต่อต้านระบอบเคาะลีฟะฮ์ [๑๒๕]

สถานที่ฝังศพ

ก่อนที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์จะถูกทำชะฮาดะฮ์ ท่านหญิงได้สั่งเสียไว้ว่า นางไม่ต้องการให้บุคคลที่กดขี่ต่อนาง และให้เหตุผลที่ทำให้นางโกรธมาร่วมนมาซให้ร่างของนางและเข้าร่วมพิธีศพของนาง ดังนั้น ท่านหญิงจึงต้องการที่จะให้ฝังร่างของนางอย่างลับๆ และสถานที่ฝังศพของท่านหญิง ถือเป็นความลับ [๑๒๖] ตามที่นักประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่า ท่านอะลี (อ.) ได้ทำฆุซล์มัยยิตให้ภรรยาของเขาด้วยความช่วยเหลือของ อัสมา บินติ อุมัยส์ [๑๒๗] และเขาทำนมาซมัยยิตให้ร่างของนาง (๑๒๘) นอกเหนือจากอิมามอะลี (อ.) ยังมีผู้คนอีกหลายคนได้เข้าร่วมในนมาซนี้อีกด้วย และมีความแตกต่างกันเกี่ยวกับจำนวนและชื่อของผู้คน แหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ระบุว่า อิมามฮะซัน อิมามฮุเซน อับบาส บิน อับดุลมุฏเฏาะลิบ มักดาด ซัลมาน อะบูซัร อัมมาร อะกีล ซุบัยร์ อับดุลลอฮ์ บิน มัสซูด และฟัฎล์ บิน อับบาส เป็นผู้มีเข้าร่วมในการนมาซนี้ (๑๒๙)

หลังจากการฝังศพ อิมามอะลี (อ.) ได้ทำลายร่องรอยของหลุมศพ จนไม่สามารถระบุหลุมศพได้(๑๓๐) นอกจากข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่ทราบตำแหน่งที่แน่นอนของหลุมศพแล้ว ยังมีรายงานอย่างมากมายเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ:[๑๓๑]

บางคนถือว่า สถานที่ฝังศพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) อยู่ในเราะเฎาะตุนนะบี (๑๓๒)

บ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์และอิมามอะลี (อ.) ได้รับการแนะนำให้เป็นสถานที่ฝังศพอีกแห่งหนึ่ง ด้วยการขยายมัสญิดอันนะบี ในช่วงยุคสมัยบะนีอุมัยยะฮ์ สถานที่แห่งนี้ จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัสญิด [๑๓๓]

แหล่งข้อมูลบางแห่ง กล่าวถึงสุสานบะกีอ์ ว่า เป็นสถานที่ฝังศพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อย่างแน่นอน บ้านของอะกีล บินอะบีฏอลิบ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ซึ่งแหล่งข้อมูลพิจารณาว่า เป็นสถานที่ฝังศพของ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ [๑๓๕] บ้านของอะกีล ซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่อยู่ติดกับสุสานบะกีอ์[๑๓๖] และหลังจากฝังศพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ บินติ อับบาส บิน อับดุลมุฎเฎาะลิบ และบรรดาอิมามของชีอะฮ์จำนวนหนึ่ง (อ.) ได้เปลี่ยนจากสถานที่พักอาศั ยเป็นสถานที่ในการซิยาเราะฮ์ของสาธารณชน (๑๓๗)

ความสูงส่ง

มีการกล่าวถึงความสูงส่งของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ในแหล่งข้อมูลทางฮะดีษ ตัฟซีร และประวัติศาสตร์ของชีอะฮ์และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ ความสูงส่งเหล่านี้บางส่วนมีแหล่งที่มาจากอัลกุรอาน เช่น อายะฮ์ตัฏฮีร และอายะฮ์มุบาฮะละฮ์ ในความสูงส่งเหล่านี้ เป็นสาเหตุของการประทานของโองการต่างๆที่เกี่ยวกับอะฮ์ลุลบัยต์แห่งของศาสดาและท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ก็เป็นหนึ่งในอะฮ์ลุลบัยต์ เช่นกัน ความสูงส่งหลายประการได้ถูกกล่าวถึงในริวายะฮ์ต่างๆ เช่น ฮะดีษบัฏอะฮ์ และการเป็นมุฮัดดิษ (ผู้สนทนากับมะลาอิกะฮ์) ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)

ความบริสุทธิ์ปราศจากบาป

อัลลามะฮ์ มัจญ์ลิซี กล่าวไว้ว่า บรรดาชีอะฮ์มีฉันทามติที่ชัดเจนเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เหตุผลของความบริสุทธิ์ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ตามโองการตัฏฮีร กล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ที่จะชำระอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ให้พ้นจากมลทินและความสกปรกทั้งหมด และตามริวายะฮ์ต่างๆของชีอะฮ์และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อย่างมากมาย รายงานว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) คือหนึ่งในตัวอย่างของอะฮ์ลุลบัยต์ [๑๔๑] ข้อกำหนดสำหรับการไม่มีข้อผิดพลาดของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) คือ นางมีคุณสมบัติบางอย่างของศาสดาทั้งหลายและบรรดาอิมาม (อ.) เช่น ข้อพิสูจน์ในการพูดและพฤติกรรม การนิ่งเงียบ มัรญิอ์ทางศาสนา และความสามารถในการตัฟซีรและอธิบายศาสนา วิถีทางการปฏิบัติและจุดยืนที่เป็นมาตรวัดในการแยกแยะสัจธรรมออกจากความเท็จ และนางยังถือเป็นแบบอย่างที่สมบูรณ์แบบในด้านชีวิตอีกด้วย

ในแหล่งข้อมูลด้านฮะดีษและประวัติศาสตร์ของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ ยังได้รายงานด้วยว่า ศาสดามุฮัมมัด (ซ.) ถือว่า อะฮ์ลุลบัยต์ของตน หมายถึง ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ท่านอะลี (อ.) ท่านฮะซัน (อ.)และท่านฮุเซน ล้วนถูกทำให้สะอาดบริสุทธิ์ปราศจากบาปทั้งปวง (๑๔๓)

การอะมั้ลอิบาดะฮ์

ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ (ซ.) เช่นเดียวกับศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) มีความสนใจในการกระทำอะมั้ลอิบาดะฮ์อย่างมากและใช้เวลาส่วนหนึ่งในการนมาซและวิงวอนต่อพระเจ้า [๑๔๔] ในบางแหล่งข้อมูล มีรายงานเกี่ยวกับความช่วยเหลือเหนือธรรมชาติสำหรับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)ตัวอย่างเช่น ซัลมาน ฟาร์ซีรู้สึกประหลาดใจที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) กำลังอ่านอัลกุรอานอยู่ ขณะที่เครื่องโม่แป้งก็หมุนด้วยตัวของมันไปเอง และเขาได้ไปถามเรื่องนี้กับศาสดา ศาสดาตอบว่า: พระผู้เป็นเจ้าทรงส่ง ญิบรออีล กาเบรียล เพื่อที่จะโม่แป้งให้นาง [๑๔๕] การทำนมาซเป็นเวลานาน การตื่นยามกลางคืน การขอดุอาอ์ เพื่อผู้อื่น รวมทั้งเพื่อนบ้าน การถือศีลอด การซิยาเราสถานที่ฝังศพของบรรดาชะฮีด ล้วนเป็นลักษณะพิเศษทางพฤติกรรมของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ที่ได้รับการเน้นย้ำในคำพูดของอะฮ์ลุลบัยต์ เศาะฮาบะฮ์และตาบิอีนบางคน (๑๔๗) มีหนังสือดุอาอ์ บทวิงวอนและบางนมาซ การขอพรและตัสบีห์สำหรับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) [๑๔๘]

สถานภาพของฟาฏิมะฮ์ ณ พระเจ้าและศาสดา

นักวิชาการชีอะฮ์ [๑๔๙] และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ [๑๕๐] อ้างอิงจากโองการที่ ๒๓ ของซูเราะฮ์อัชชูรอ ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อโองการมะวัดดะฮ์ ได้ถือว่า ความรักต่อท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ เป็นคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าที่มีต่อชาวมุสลิม ในโองการมะวัดดะฮ์ ผลรางวัลสำหรับภารกิจของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้รับการแนะนำว่า การให้ความรักต่อเครือญาติพี่น้อง ซึ่งบรรดานักตัฟซีรได้อธิบายว่า หมายถึง อะฮ์ลุลบัยต์ (อ.)[๑๕๑] ตามริวายะฮ์ต่างๆ รายงานว่า เครือญาติพี่น้องหรือ (ในการอธิบายของบรรดานักตัฟซีร) อะฮ์ลุลบัยต์ในโองการนี้ คือ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ท่านอะลี (อ.) ท่านฮะซันและท่านฮุเซน (อ.) [๑๕๒] นอกจากโองการมะวัดดะฮ์แล้ว ยังมีริวายะฮ์ต่างๆจากศาสดา (ศ็อลฯ) ที่รายงานว่า พระเจ้าทรงพิโรธด้วยการโกรธแค้นของฟาฏิมะฮ์และพระองค์ทรงพอพระทัยกับความพึงพอใจของนาง [๑๕๓]

ซัยยิด มุฮัมมัดฮะซัน มีรญะฮานี ได้รวบรวมฮะดีษไว้ในหนังสือของเขาชื่อว่า ญันนะตุลอาศิมะฮ์ ซึ่งถือว่า การสร้างฟาฏิมะฮ์ เป็นสาเหตุของการสร้างสรรพสิ่ง ฮะดีษนี้เป็นรู้จักกันในชื่อ ฮะดีษของเลาลาก ได้รับการรายงานจากศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) และตามฮะดีษนั้น การสร้างสรรพสิ่งขึ้นอยู่กับการสร้างศาสดา การสร้างศาสดาขึ้นอยู่กับการสร้างท่านอะลี (อ.) และการสร้างศาสดาและอะลีขึ้นอยู่กับการสร้างฟาฏิมะฮ์[๑๕๔] บางคนบอกว่า สายรายงานของฮะดีษนี้มีปัญหา แต่ทว่าเนื้อหาของฮะดีษนี้เป็นเหตุผลที่สามารถยอมรับได้ [๑๕๕]

ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) มีความรักและให้เกียรติท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) มากกว่าผู้ใด ในฮะดีษซึ่งเรียกว่า ฮะดีษบัฎอะฮ์ ศาสดา (ศ็อลฯ) ได้กล่าวถึงฟาฏิมะฮ์ว่า นางเป็นก้อนเนื้อส่วนหนึ่งของเขา และกล่าวว่า ผู้ใดก็ตามที่รังแก เท่ากับเขาได้รังแกฉัน ริวายะฮ์นี้ได้รับการรายงานในรูปแบบต่างๆ โดยมุฮัดดิษในยุคแรก เช่น เชคมุฟีด ในหมู่นักวิชาการชีอะฮ์ และอะห์มัด บิน ฮัมบัล ในหมู่นักวิชาการอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ [๑๕๖] เมื่อศาสดาแห่งอิสลาม (ศ็อลฯ) ออกเดินทาง บุคคลสุดท้ายที่เขาจะกล่าวคำอำลา คือ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) และเมื่อเขากลับมาจากการเดินทาง เขาจะไปเยือนฟาฏิมะฮ์ เป็นบุคคลแรก [๑๕๗]

หัวหน้าของบรรดาสตรี

ในริวายะฮ์ต่างๆ มากมายที่รายงานจากชีอะฮ์และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ กล่าวไว้ว่า ฟาฏิมะฮ์ เป็นสตรีที่ประเสริฐที่สุดเหนือหมู่สตรีแห่งสวรรค์ นางเป็นสตรีที่ประเสริฐที่สุดทั้งสองโลก และเป็นสตรีที่ประเสริฐที่สุดในหมู่ประชาชาติ [๑๕๘]

สตรีผู้เดียวที่เข้าร่วมในเหตุการณ์มุบาฮะละฮ์

ในหมู่สตรีทั้งหลายชาวมุสลิม มีเพียงท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เท่านั้นที่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมในเหตุการณ์มุบาฮะละฮ์ของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ร่วมกับชาวคริสเตียนเมืองนัจญ์รอน เหตุการณ์นี้ถูกกล่าวถึงไว้ในโองการมุบาฮะละฮ์ ตามแหล่งข้อมูลด้านตัฟซีร ฮะดีษ และประวัติศาสตร์ โองการมุบาฮะละฮ์ ถูกประทานลงมาเกี่ยวกับความสูงส่งและความประเสริฐของอะฮ์ลุลบัยต์แห่งศาสนทูต (๑๕๙)ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) อิมามอะลี (อ.) อิมามฮะซัน (อ.) และอิมามฮุเซน (อ.) ทั้งหมดคือ ผู้ที่เข้าร่วมในเหตุการณ์ดังกล่าวนี้(๑๖๐)

ความต่อเนื่องของเชื้อสายของศาสดา ผ่านท่านหญิงฟาฏิมะฮ์

ความต่อเนื่องของเชื้อสายของศาสดา ผ่านท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) และการแต่งตั้งบรรดาอิมามของชีอะฮ์จากบุตรหลานของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ได้รับการกล่าวว่า เป็นหนึ่งในความสูงส่งของนาง [๑๖๑] นักตัฟซีรบางคนมองว่า การสืบทอดเชื้อสายของศาสดาจากท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ เป็นตัวอย่างหนึ่งของเกาษัร หมายถึง ความดีอันมากมาย ในซูเราะฮ์อัลเกาษัร [๑๖๒]

ความเอื้ออาทร

ความเอื้ออาทรของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ได้รับการรายงานว่า เป็นหนึ่งในลักษณะพิเศษทางพฤติกรรมของนาง ในชีวิตของนางกับท่านอะลี (อ.) เมื่อนางอยู่ในภาวะเศรษฐกิจที่เอื้ออำนวย นางเป็นคนเรียบง่ายและมักจะให้บริจาคทานเสมอ [๑๖๓] การบริจาคเสื้อผ้าชุดใหม่ให้กับคนขัดสนในคืนแห่งการแต่งงานของนาง [๑๖๔] การมอบสร้อยคอให้กับคนยากจน [๑๖๕] และการให้อาหารทั้งหมดแก่คนยากจน เด็กกำพร้า และเชลยศึก ถือเป็นอีกกรณีหนึ่ง (๑๖๖) ตามรายงานจากฮะดีษและตัฟซีร ระบุว่า หลังจากนั้นท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ท่านอะลี ฮะซัน และฮุเซน ได้ถือศีลอดทั้งสามอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ละศีลอด พวกเขาได้ให้อาหารทั้งหมดของเขาแก่ผู้ขัดสน จนโองการอิฏอามถูกประทานลงมาให้พวกเขา [๑๖๗]

การตัดขาดจากทางโลกและความเรียบง่าย

สินสมรสของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) มีทั้งหมด สิบหก หรือสิบเก้า รายการ ซึ่งสิบหกรายการ ถือเป็นปัจจัยสำหรับการดำเนินชีวิตอันเล็กๆ ของนาง เมื่อครั้งที่ศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า (ศ็อลฯ) ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ เขาก็ขอพร ดังนี้: ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่มีเครื่องมือส่วนใหญ่นั้นเป็นดินเหนียว และเครื่องปั้นดินเผา [๑๖๘]

มุฮัดดิษ

บรรดามะลาอิกะฮ์ได้สนทนากับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เป็นหนึ่งในคุณลักษณะพิเศษของนาง ซึ่งทำให้นางถูกเรียกว่า มุฮัดดิษ (๑๖๙) การสนทนาระหว่างมวลมะลาอิกะฮ์กับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ในยุคสมัยของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) และหลังจากการวายชนม์ของศาสดา คือ การปลอบประโลมท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) และแจ้งให้นางทราบเกี่ยวกับอนาคตของเชื้อสายของศาสดา [๑๗๐] อิมามอะลี (อ.)ได้จดบันทึกเหตุการณ์ในอนาคต ตามที่เทวทูตได้บอกกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซึ่งเป็นที่รู้จักว่า มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์ [๑๗๑] ในรายงานนี้ มีการกล่าวถึงคำพูดของมะลาอิกะฮ์เพียงฝ่ายเดียว และท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เป็นผู้ฟังเท่านั้น และสิ่งที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ได้ยิน อิมามอะลี (อ.) ก็ได้ยินและจดบันทึกไว้ด้วย การปรากฏของอิมามอะลี (อ.) เมื่อพบกับมะลาอิกะฮ์นั้น เป็นไปตามคำร้องขอของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ตามทัศนะของฟัยฎ์ กาชานี ในหนังสือ วาฟีย์ เขียนว่า สาเหตุของคำร้องขอนี้ เนื่องมาจากความกลัวที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์อยู่คนเดียวและสนทนากับเทวทูต (๑๗๒) แต่ ในเชิงอรรถของหนังสืออัลกาฟีย์ ซึ่งได้รับการแก้ไขโดยอะลี อักบัร ฆ็อฟฟารี และมุฮัมมัด ออคูนดี ถือว่า เหตุผลในการร้องขอของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)จากอิมามอะลี (อ.) สำหรับการร่วมอยู่ด้วยในเวลาที่มะลาอิกะฮ์ปรากฏอยู่ ถือเป็นความกังวลใจในการไม่สามารถที่จะจดจำคำพูดของมะลาอิกะฮ์ได้ (๑๗๓)

ศาสตร์และความรู้

ด้วยการเป็นแบบอย่างของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ (ซ.) ในมิติต่างๆ ของการอิบาดะฮ์ การอบรมสั่งสอน จริยธรรมและศีลธรรม การดูแลครอบครัว ฯลฯ จำเป็นที่จะต้องใช้ประโยชน์จากศาสตร์และความรู้อันพิเศษที่สมบูรณ์ของนาง เพื่อเป็นคำตอบต่อความต้องการทางความรู้สำหรับผู้ที่แสวงหาความรู้ (๑๗๔) ในส่วนหนึ่งจากบทซิยาเราะฮ์ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)ได้ให้สลามไปยังนาง ดังนี้: ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน โอ้ผู้ที่สนทนากับมะลาอิกะฮ์ ผู้ทรงความรอบรู้ (๑๗๕) ตัวอย่างความรู้ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) และการเคารพในศีลธรรมและมารยาททางศาสนา และความอ่อนน้อมถ่อมตน อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของนางต่อผู้ถามในเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งมีริวายะฮ์จากอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ.) รายงานว่า วันหนึ่ง มีผู้หญิงคนหนึ่งได้พูดกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ว่า แม่ของฉันนั้นไม่มีสามารถ สำหรับนมาซของเธอ เธอมีปัญหาที่จะถาม จึงได้เขาส่งฉันไปหาคำตอบจากท่าน ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ได้ให้คำตอบกับสตรีผู้นั้นไป จากนั้น ผู้หญิงคนนั้นก็ถามอีกคำถามและท่านหญิงก็ตอบเธออีกครั้ง จนกระทั่งเธอถามถึงสิบครั้งด้วยกัน ในเวลานั้น ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกเขินอายและบอกว่าฉันทำให้ท่านเหนื่อยและไม่พอใจไปมากกว่านั้น ฉันจะไม่ทำให้ท่านลำบากและเหนื่อยอีกต่อไปแล้ว ท่านหญิงฟาฎิมะฮ์ (ซ.)กล่าวว่า หากมีคำถาม ก็ให้ถามมา แล้วท่านหญิงกล่าวเสริมว่า ถ้ามีคนรับจ้างให้บรรทุกของหนักไปยังสถานที่สักแห่งแล้ว ได้รับเงินตอบแทนหนึ่งแสนดีนาร เขาจะไม่สบายใจใช่ไหม? ผู้หญิงคนนั้นตอบว่าไม่ หลังจากนั้น ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) กล่าวว่า “ฉันเป็นผู้รับจ้างพวกท่านสำหรับทุกคำถามที่ฉันจะตอบ และผลรางวัลสำหรับมัน ณ อัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงส่งนั้นมีค่ามากกว่าสิ่งที่อยู่ในโลกนี้ (๑๗๖) อาลูซี กล่าวว่า บรรดานักวิชาการอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ มองว่า ศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ ) รู้ดีว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์นั้นมีความสูงส่งมากกว่าท่านหญิงอาอิชะฮ์ ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์จะมีชีวิตอยู่หลังจากเขาไม่นานนัก เขากล่าวว่า จงเอาศาสนาทั้งหมดของเจ้าจากฟาฏิมะฮ์ [๑๗๗]

บทซิยาเราะฮ์

ในบางแหล่งข้อมูลของชีอะฮ์ ระบุว่า อิมามศอดิก (อ.) ได้กล่าวบทซิยาเราะฮ์สำหรับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) (๑๗๘) ตามตัวบทของบทซิยาเราะฮ์ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ระบุว่า นางได้รับการทดสอบโดยพระเจ้าก่อนที่นางจะถูกสร้างขึ้นและนางก็อดทนในการทดสอบครั้งนี้[๑๗๙]

ในบทซิยาเราะฮ์นี้ การยอมรับวิลายะฮ์ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ถือเป็นการยอมรับในวิลายะฮ์ของบรรดาศาสดาทั้งหมด และศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) อีกทั้งการปฏิบัติตามพวกเขา [๑๘๐] นอกจากนี้ ตามการซิยาเราะฮ์นี้ ผู้ที่เชื่อฟังท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) และเป็นผู้ที่มั่นคง จะได้รับการชำระให้สะอาดปราศจากมลทินและบาปต่างๆ [๑๘๑]

มรดกทางจิตวิญญาณ

ถ้อยคำและการดำเนินชีวิตในการอิบาดะฮ์ การเมือง และทางสังคมของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)เป็นสิ่งที่สนใจของบรรดามุสลิมว่า เป็นมรดกที่นางได้ทิ้งไว้ และได้รับการกล่าวถึงเป็นผลงานของชาวมุสลิม มุศฮับฟาฏิมะฮ์ บทเทศนาฟะดะกียะฮ์ ตัซบีห์ฟาฏิมะฮ์ และนมาซของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางจิตวิญญาณของท่านฟาฏิมะฮ์ (ซ.)

มีริวายะฮ์ที่เป็นส่วนสำคัญของมรดกของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ริวายะฮ์เหล่านี้ รวมถึงประเด็นหลักศรัทธา หลักปฏิบัติ จริยธรรม ศีลธรรม และสังคม ริวายะฮ์บางส่วนของนางได้รับการกล่าวถึงในตำราสายฮะดีษของชีอะฮ์และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ และริวายะฮ์จำนวนหนึ่งได้มีการรวบรวมไว้ในหนังสือที่เป็นอิสระ ที่มีชื่อเรื่อง เช่น มุสนัดฟาฏิมะฮ์ และ อัคบารฟาฏิมะฮ์ แหล่งข้อมูลเหล่านี้บางส่วนได้สูญหายไปตามกาลเวลา และมีการกล่าวถึงเฉพาะในหนังสือริญาล ตะรอญิม และหนังสืออ้างอิงเพียงเท่านั้น (๑๘๒)

มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์ ประกอบด้วยเนื้อหาที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ได้ยินมาจากมะลาอิกะฮ์ของพระเจ้า และอิมามอะลี (อ.) ได้เป็นผู้บันทึกมันลงไป (๑๘๓) ตามรายงานของบรรดาชีอะฮ์ มุศฮัฟฟาฏิมะฮ์ ได้อยู่กับบรรดาอิมามของชีอะฮ์ และอิมามแต่ละคนได้มอบมันให้กับอิมามคนต่อไปในบั้นปลายชีวิตของเขา [๑๘๔] และไม่มีใคร นอกจากอิมามที่สามารถเข้าถึงหนังสือเล่มนี้ได้ บัดนี้ หนังสือเล่มนี้อยู่ในมือของอิมามมะฮ์ดี (อ.) แล้ว [๑๘๕]

บทเทศนาธรรมฟะดะกียะฮ์ เป็นหนึ่งในสุนทรพจน์อันโด่งดังของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซึ่งได้กล่าวถึงเหตุการณ์ซะกีฟะฮ์ บะนีซาอิดะฮ์ การแย่งชิงตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ และการยึดฟะดัก มีการเขียนคำอธิบายหลายเรื่องเกี่ยวกับบทเทศนาธรรมฟะดะกียะฮ์ ซึ่งส่วนใหญ่เรียกว่า คำอธิบายของบทเทศนาธรรมของท่านหญิงซะฮ์รอ (ซ. ) หรือคำอธิบายของบทเทศนาธรรมลุมมะฮ์ (อีกชื่อหนึ่งของบทเทศนาธรรมฟะดะกียะฮ์) (๑๘๖)

ตัสบีฮาตของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ (ซ.) เป็นซิกร์ที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ได้เรียนรู้จากศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) [๑๘๗] และท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ รู้สึกยินดีที่ได้เรียนรู้สิ่งนี้[๑๘๘] มีรายงานมากมายในแหล่งข้อมูลชีอะฮ์และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์เกี่ยวกับการเรียนรู้ตัสบีฮาตของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ และระบุว่า หลังจากที่อิมามอะลี (อ.) ได้ยินซิกร์นี้ เขาไม่ได้ละทิ้งมันเลยภายใต้สถานการณ์ใดๆก็ตาม [๑๘๙] นมาซของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ (ซ.) เป็นนมาซที่ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ได้เรียนรู้จากศาสดา มุฮัมมัด (ศ็อลฯ) หรือจากท่านญิบรออีล มีการกล่าวถึงนมาซนี้ ในตำราสายฮะดีษและหนังสือดุอาอ์บางเล่ม (๑๙๐)

บทกวีของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ซึ่งได้รับการรายงานในแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์และด้านฮะดีษ บทกวีเหล่านี้ทางประวัติศาสตร์เกี่ยวข้องกับสองช่วงยุคสมัย: ช่วงก่อนการวายชนม์ของศาสดามุฮัมมัด และช่วงหลังการวายชนม์ของเขา ยังมีการจัดพิมพ์หนังสือที่เกี่ยวกับบทกวีของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์อีกด้วย (๑๙๑)

ฟาฏิมะฮ์ในวัฒนธรรมและวรรณกรรมชีอะฮ์

บรรดาชีอะฮ์ ถือว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เป็นแบบอย่างของพวกเขา และวิถีชีวิตของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ยังคงอยู่ในวัฒนธรรมชีอะฮ์และการดำรงชีวิตของชีอะฮ์ ตัวอย่างบางส่วน ได้แก่ :

มะฮ์รุซซุนนะฮ์ : บนพื้นฐานของริวายะฮ์ ระบุว่า อิมามญะวาด (อ.) ได้กำหนดสินสอดของภรรยาของเขา เท่ากับจำนวนสินสอดของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) คือ ห้าร้อยดิรฮัม (๑๙๒) จำนวนนี้เรียกว่า มะฮ์รุซซุนนะฮ์ ซึ่งเป็นสินสอดของบรรดาภริยาและบุตรสาวของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) (๑๙๕)

สัปดาห์ฟาฏิมียะฮ์ : บรรดาชีอะฮ์จะจัดพิธีไว้อาลัยในช่วงสัปดาห์แห่งการเป็นชะฮีดของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ในอิหร่าน วันชะฮาดะฮ์ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ถือเป็นวันหยุดราชการตามวันที่ 3 ของเดือนญะมาดิษษานี [๑๙๔] และบรรดามัรญิอ์ตักลีดก็มีส่วนร่วมในการเดินเท้าเพื่อไว้อาลัย [๑๙๕]

วันสตรีแห่งชาติ : ในอิหร่าน วันครบรอบวันคล้ายวันประสูติของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ( ๒๐ ญะมาดิษษานี) ได้รับการขนานนามว่า เป็นวันสตรีแห่งชาติ [๑๙๖] ประชาชนชาวอิหร่านได้เฉลิมฉลองในวันนี้ ด้วยการมอบของขวัญให้กับมารดาและภรรยาของตน [๑๙๗]

วันแห่งการแต่งงาน : ในปฏิทินของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน วันแรกของเดือนซุลฮิจญะฮ์ ซึ่งเป็นวันครบรอบการแต่งงานของท่านอะลี (อ) และท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) จึงได้รับการตั้งชื่อให้เป็นวันแห่งการแต่งงาน การบูรณะเชิงสัญลักษณ์ชุมชนบะนีฮาชิม : ในช่วงเวลาเดียวกับช่วงสัปดาห์ฟาฏิมียะฮ์ ชุมชนบะนีฮาชิม สุสานบะกีอ์ และบ้านของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ถูกสร้างขึ้นในเชิงสัญลักษณ์ในรูปแบบเก่า และผู้คนจำนวนมาก มาเยี่ยมชมสถานที่เหล่านี้ [๑๙๘ ]

การจัดการแสดงละครและการแสดงตะอ์ซียะฮ์ : ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การจัดการแสดงละคร การแสดงตะอ์ซียะฮ์ และการแสดงริมถนน ที่มีชื่อว่า หญิงสาวแห่งสายน้ำและกระจก [๑๙๙] หญิงสาวผู้แปลกหน้า [๒๐๐] ถือเป็นโปรแกรมพิเศษในช่วงวันแห่งความโศกเศร้าต่อการเป็นชะฮีดของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)

การตั้งชื่อเด็กผู้หญิง : ตามสถิติที่ประกาศโดยสำนักทะเบียนราษฎรของอิหร่านในปี ๒๐๑๕ ชื่อว่า ฟาฏิมะฮ์และซะฮ์รอ เป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกของชื่อสำหรับเด็กผู้หญิงในอิหร่าน และชื่อของชาวอิหร่านมากกว่า ๑๓ ล้านคน คือ ฟาฏิมะฮ์ (๒๐๑)

การมีความสัมพันธ์ไปยังบุตรหลานของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ : ในหมู่สำนักคิดชีอะฮ์ ซัยดียะฮ์เชื่อว่า ตำแหน่งอิมามะฮ์และผู้นำ เป็นของผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ดังนั้น ซัยดียะฮ์ จึงได้ปฏิบัติตามบุคคลใดบุคคลหนึ่งในฐานะอิมามเท่านั้น และถือว่า การปกครองของเขามีความถูกต้อง หากเขาเป็นบุตรหลานของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) [๒๐๒] นอกจากซัยดียะฮ์แล้ว ราชวงศ์ฟาฏิมียะฮ์ ซึ่งการปกครองของพวกเขาใช้ชื่อตามท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ยังสืบเชื้อสายมาจากบุตรหลานของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) อีกด้วย [๒๐๓]

วรรณกรรมและบทกวีที่เกี่ยวกับฟาฏิมะฮ์

กวีและนักเขียนชาวเปอร์เซียบางคนได้เขียนผลงานวรรณกรรมเกี่ยวกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) และบทกวีเกี่ยวกับนาง บางคนเชื่อว่า บทกวีเกี่ยวกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ที่เก่าแก่ที่สุด มีอายุย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 5 แห่งฮิจญ์เราะฮ์ศักราช (๒๐๔) ในยุคร่วมสมัย บทกวีเกี่ยวกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่กวี จนถึงขนาดที่การประชุมที่มีชื่อว่า บทกวีเกี่ยวกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ จัดขึ้นโดยมีบรรดากวีที่เขียนบทกวีเกี่ยวกับเรื่องนี้เข้าร่วม [๒๐๕] การเพิ่มขึ้นของบทกวีเกี่ยวกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ทำให้บรรดานักวิชาการด้านวรรณกรรมบางคนมองว่า บทกวีเกี่ยวกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ เป็นรูปแบบหนึ่งของบทกวีแห่วพิธีกรรมที่กล่าวถึงสถานะและวิถีชีวิตของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ [๒๐๖]

ในผลงานด้านวรรณกรรม เราสามารถอ้างถึงหนังสือ เกชตี พะฮ์ลู กิริฟเตฮ์ และฟาฏิมะฮ์ คือ ฟาฏิมะฮ์ ในหมู่บทกวีที่ถูกรู้จักที่เขียนเกี่ยวกับศักดิ์ศรีและสถานะของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ เราสามารถกล่าวถึงบทกวีที่มีชื่อเสียงของมุฮัมมัดฮุเซน ฆ็อรวี อิศฟะฮานี หรือที่รู้จักในชื่อ คุมพานี ซึ่งมีบทขึ้นต้นดังนี้ :

หญิงสาวพรหมจารีของฉัน เหมือนกับดอกไม้ที่ริมฝีปากของฉัน เธอจะพูดจาอย่างเข้มข้นด้วยสิทธิของการพูดจานั้น

บทกวีอื่น ๆ ของบทกวีที่มีชื่อเสียงนี้ มีดังนี้:

เมื่อไร มายาจะถึงจุดสูงสุดแห่งความศักดิ์สิทธิ์แห่งเกียรติยศของพระเจ้า? เมื่อเข้าใจว่าคุณลักษณะของหญิงสาวผู้โดดเดี่ยว จะทำให้เธอยิ่งใหญ่? จิตวิญญาณอันบริสุทธิ์จะไม่ช่วยเหลือผู้พูดของฉันกระนั้นหรือ? จนกว่า จะสรรเสริญท่านหญิง ผู้เป็นหัวหน้าของสตรีทั้งผอง คืนอัลก็อดร์ของเอาลิยาอ์ คือ แสงแห่งวันอันบริสุทธิ์ เช้าแห่งความงดงามของเธอโผล่ขึ้นจากขอบฟ้าอันกว้างไกล ก้อนเนื้อส่วนหนึ่งนายแห่งมนุษยชาติหรือเป็นมารดาของบรรดาอิมาม วะฮ์ฮีย์และนะบูวัต เป็นสายเลือดของเธอ การดำรงอยู่ของเธอและอำนาจของเธอตามการคำนวณ เรื่องเล่าจากเธอถูกกล่าวในซูเราะฮ์ ฮัลอาตา ความบริสุทธิ์ของเธอ คือ อาภรณ์ของเธอ อิฟฟะฮ์ของเธอ คือ หน้ากากของเธอ ความลี้ลับของฮะดีษเก่าแก่ คือ สิ่งปกปิดของเธอและเธอละอายจากมัน ผลของสาวใช้ของเธอ คือ ดาวศุกร์ ซึ่งเป็นดาวพฤหัสบดีที่เล็กที่สุด เธอจะกลายเป็นน้ำพุ หากเธอหันสายตามอง ผู้มีความต้องการจะมุ่งไปหาประตูของเธอ ไม่เหมือนกับไฟอื่นใด ใครจะรู้ว่า ทองแดงแห่งการดำรงอยู่คือ เงิน และเธอได้เปลี่ยนมันให้กลายเป็นทอง [๒๐๗]

ผลงานประพันธ์

ผลงานเขียนที่เกี่ยวกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ซึ่งเป็นสิ่งที่สนใจของบรรดามุสลิม โดยเฉพาะบรรดาชีอะฮ์ นับตั้งแต่ช่วงศตวรรษแรกของฮิจญ์เราะฮ์ศักราช [๒๐๘] ในการจำแนกประเภท ผลงานที่เขียนหรือรวบรวมเกี่ยวกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) สามารถแบ่งออกเป็นสามประเภท : มุสนัด มันเกาะบะฮ์ และชีวประวัติ [๒๐๙] ในชุดมุสนัดต่างๆและการรวบรวมริวายะฮ์โดยบรรดาชีอะฮ์ หนังสือ ดะลาอิลุลอิมามะฮ์ เขียนโดย เฏาะบะรี ถือเป็นมุสนัดที่เก่าแก่ที่สุดที่มีอยู่เกี่ยวกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) (๒๑๐) บางมุสนัดของบรรดาชีอะฮ์ ได้แก่: มุสนัด ฟาฏิมะตุซซะฮ์รอ เขียนโดย อะซีซุลลอฮ์ อัฏฏอรดี มุสนัด ฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ เขียนโดย ซัยยิด ฮุเซน ชัยคุลอิสลามี นะฮ์ญุลฮะยาต (วัฒนธรรมสุนทรพจน์ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ) เขียนโดย มุฮัมมัด ดัชตี มุสนัด ฟาฏิมะฮ์ เขียนโดย มะฮ์ดี ญะอ์ฟะรี [๒๑๑] ในหมู่หนังสือ มะนากิบ สามารถกล่าวถึงหนังสือดังต่อไปนี้ : มะนากิบ ฟาฏิมะตุซซะฮ์รอ วะ วะละดุฮา เขียนโดย เฏาะบะรี อามุลี (๒๑๒) ฟะฏออิล ฟาฏิมะตุซซะฮ์รอ เขียนโดย นาศิร มะการิม ชีรอซี ฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ ในมุมมองของริวายะฮ์จากอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ เขียนโดยมุฮัมมัด วาศิฟ [๒๑๓] ในหมู่มุสนัดต่างๆของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ที่เกี่ยวกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ สามารถกล่าวได้ดังนี้ อัซซะกีฟะฮ์ วะฟะดัก เขียนโดย เญาฮะรี บัศรี มัน รุวิยะ อัน ฟาฏิมะฮ์ มิน เอาลาดิฮา เขียนโดย อิบนุอุกดะฮ์ ญารูดี และมุสนัด ฟาฏิมะฮ์ เขียนโดย ดารกุฏนี ชาฟิอี ในหมู่หนังสือต่างๆ ของมะนากิบ สามารถกล่าวถึงได้ ดังต่อไปนี้: ฟะฎออิล ฟาฏิมะตุซซะฮ์รอ เขียนโดย ฮากิม นีชาบูรี อัษษุฆูร อัลบาซิมะฮ์ ฟีย์ ฟะฎออิล อัซซัยยิดะฮ์ ฟาฏิมะฮ์ เขียนโดย ญะลาลุดดีน ซุยูฏี และอิตฮาฟุซซาอิล บิมา ลิฟาฏิมะฮ์ มินัลมะนากิบ วัลฟะฎออิล เขียนโดย มุฮัมมัดอะลี มินาวี [๒๑๔]

สารานุกรมฟาฏิมี (ซ.) ภายใต้การดูแลของอะลี อักบัร เราะชาด ยังเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิต สถานภาพและคำสอนของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ในหกเล่ม และประเด็นด้านนิติศาสตร์ กฎหมาย และสังคมของผู้หญิงและครอบครัว สารานุกรมนี้ ได้รับการคัดเลือกในปี ๑๓๙๔ สุริยคติอิหร่าน ในการประชุมใหญ่หนังสือประจำปีของสถาบันศาสนา ครั้งที่ ๑๗ (๒๑๕)

ผลงานการแสดง

บทละครเรื่อง หญิงสาวผู้ที่ไร้ที่มา เป็นชื่อละครที่เขียนโดย ซัยยิดฮุเซน ฟิดาอีฮุเซน โดยอิงจากหนังสือ กิชตี พะฮ์ลู กิริฟเตฮ์ บทละครเรื่องนี้ ได้รับการแสดงหลายครั้งในเมืองต่างๆ ในอิหร่านในช่วงสัปดาห์ฟาฏิมียะฮ์ [๒๑๖]

สตรีแห่งสวรรค์ เป็นชื่อแอนิเมชั่นที่ผลิตและเผยแพร่โดย ศูนย์ผลิตและเผยแพร่ดิจิทัลการปฏิวัติอิสลาม (มิตนา) ในปี ๑๓๙๗ สุริยคติอิหร่าน แอนิเมชั่นนี้อธิบายถึงการเป็นชะฮีดของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ (ซ.) (๒๑๗) ภาพยนตร์เรื่อง สตรีแห่งสวรรค์ ซึ่งกำกับโดย เอลิคิง ผลิตขึ้นในปี ๒๐๒๐ เช่นกัน และออกฉายในจำนวนจำกัด [๒๑๘]


เชิงอรรถ

บรรณานุกรม